โรคเชื้อราผิวหนังเกิดจากอะไร ? ปล่อยไว้ให้หายเองได้ไหม
โรคเชื้อรา หรือโรคเชื้อราผิวหนัง เป็นโรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะกับอากาศแบบร้อนชื้นอย่างประเทศไทยเรา ซึ่งโรคเชื้อราผิวหนังนี้สามารถก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้กับคนหลายช่วงวัย และเกิดได้กับหลายส่วนของร่างกายของคุณ
ไม่ว่าจะเป็นเชื้อราที่เกิดกับผิวหนังตามร่างกาย อย่างเชื้อราที่มือ ขา ก้น เชื้อราในเด็กทารก หรือแม้แต่จุดซ่อนเร้น ซึ่งทั้งในผู้ชายและผู้หญิงก็มีโอกาสเกิดโรคเชื้อราผิวหนังได้เช่นกัน
ฉะนั้นการดูแลตัวเองและสุขอนามัย รวมไปถึงการรักษาอาการติดเชื้อราอย่างถูกวิธี จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
เชื้อราผิวหนังเกิดจากอะไร ?
โดยอาจแสดงอาการทั้งบนผิวหนังภายนอกหรืออวัยวะภายใน โดยโรคเชื้อราที่ผิวหนังซึ่งสามารถพบได้บ่อย ๆ
ในคนไทย เช่น ฮ่องกงฟุต หรือโรคน้ำกัดเท้า สังคัง กลาก เกลื้อน เชื้อราที่เล็บ และเชื้อราในช่องคลอด เป็นต้น
เชื้อราผิวหนังมีอะไรบ้าง และมีอาการอย่างไร ?
โรคเชื้อราผิวหนัง มักพบได้โดยทั่วไป และพบได้บ่อย ส่วนใหญ่เกิดที่ผิวหนังชั้นตื้น โดยมีอาการคือ ระคายเคือง คัน บวมแดง แสบร้อนที่ผิวหนัง เกิดขึ้นตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งลักษณะอาการเฉพาะอาจแตกต่างกันออกไป เช่น
- โรคน้ำกัดเท้า หรือฮ่องกงฟุต เป็นเชื้อราที่เท้า จะมีอาการคัน แสบร้อน จนไปถึงเกิดแผลพุพอง และมีรอยแตกของผิวบริเวณง่ามนิ้วเท้า
- กลาก มีลักษณะเป็นวงขาว ๆ ขอบเขตชัดเจน มีอาการคัน พบได้ตามผิวหนังทั่วร่างกาย และลำตัว มักพบในนักกีฬา ผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง และผู้ที่ไม่ค่อยอาบน้ำ
- เกลื้อน มีลักษณะคล้ายกับกลาก เป็นวงเรียบ สีขาว หรือสีน้ำตาล หรือสีดำ มักไม่มีอาการคัน แต่หากเหงื่อออกมาก อาจคันเล็กน้อย
- การติดเชื้อแคนดิดา มักพบบริเวณที่อับชื้น เป็นเชื้อราที่ขา แขน อย่างข้อพับ ขาหนีบ รักแร้ หรือบางคนอาจจะมีเชื้อราที่ก้นหรือหลัง ลักษณะเป็นผื่นแฉะ สีแดง มีอาการคัน สามารถลามได้ ทั้งยังสามารถพบได้ในช่องปากเหมือนฝ้าขาวบริเวณลิ้น โดยจะพบในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- สังคัง เป็นเชื้อราที่ขาหนีบ ต้นขาด้านใน ก้น หรือที่มีความอับชื้นสูง เมื่อผิวติดเชื้อราจะมีอาการคันอย่างรุนแรง บางครั้งอาจจะมีตุ่มใส ๆ หรือเป็นผื่นแดงนูน และอาจแพร่ลามไปที่อวัยวะเพศได้
- เชื้อราในช่องคลอด มักมีอาการคันในช่องคลอด หรือบริเวณปากช่องคลอด รู้สึกเจ็บ แสบ และมีอาการแดงบริเวณรอบ ๆ ปากช่องคลอด มีตกขาวผิดปกติ ลักษณะขาวข้นคล้ายนมบูด หรือมีกลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา
เชื้อราผิวหนังรักษาอย่างไร หายขาดได้ไหม ?
หากมีผื่นเชื้อราขึ้นอย่านิ่งนอนใจ ให้รีบรักษาแต่เนิ่น ๆ โดยการรักษาจะมีทั้งยาทาต้านเชื้อรา ซึ่งเป็นยาทาภายนอก และยารับประทาน ซึ่งต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
แผลเชื้อราที่ผิวหนังทั่วไป
สามารถใช้ยาทาต้านเชื้อรา ชนิดทาภายนอกจะมีคุณสมบัติกำจัดเชื้อรา และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ในบริเวณที่เป็นได้โดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่จะพบได้ในรูปแบบ ครีม เจล โลชัน หรือยาเหน็บ
เชื้อราที่ศีรษะหรือที่เล็บ
ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาและวินิจฉัยอย่างถูกต้อง ซึ่งนอกจากการทายาภายนอกแล้ว ยังต้องรักษาแผลเชื้อราด้วยรับประทานยาควบคู่ไปด้วย
เชื้อราจากสัตว์เลี้ยง
ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือคลุกคลีกับสัตว์ที่เป็นเชื้อรา
ตัวยาที่ใช้ในการรักษาเชื้อราผิวหนัง
สำหรับการรักษาเชื้อราคน มีตัวยาที่ใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่
โคลไทรมาโซล
รักษาโรคผิวหนังเป็นเชื้อราที่เกิดจากการติดเชื้อแคนดิดาบริเวณอวัยวะเพศหญิงและอวัยวะเพศชายภายนอก โรคกลาก เกลื้อน โรคน้ำกัดเท้า หรือฮ่องกงฟุต โดยทายาบริเวณที่เป็นโรคบาง ๆ วันละ 2-3 ครั้ง และควรทาให้เลยบริเวณขอบที่เป็นประมาณ 1-2 เซนติเมตร
สำหรับการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราบริเวณอวัยวะเพศหญิง ตัวยาโคลไทรมาโซลชนิดครีม มักนิยมใช้ร่วมกับยาในรูปแบบเหน็บช่องคลอด เพื่อฆ่าหรือยับยั้งเชื้อราที่อาจมีบริเวณภายนอก หรือรอบช่องคลอดที่ยาชนิดเหน็บไม่สามารถออกฤทธิ์ครอบคลุมถึง และยังสามารถป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้อีกด้วย
ไบโฟนาโซล
ตัวยาไบโฟนาโซล ในปัจจุบันมีเพียงชนิดครีม ใช้รักษาโรคผิวหนังจากเชื้อ เดอร์มาโตไฟต์ ยีสต์ และเชื้อราอื่นเช่น กลากที่เท้า ที่มือ กลากที่ลำตัว กลากที่ขาหนีบ เกลื้อน โรคน้ำกัดเท้า และโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อแคนดิดา โดยทาบาง ๆ บริเวณผิวหนังที่เป็น และถูตัวยาให้ซึมซาบเข้าผิวหนัง วันละ 1 ครั้ง และควรทาต่อเนื่องในช่วงเวลา 2-4 สัปดาห์ แม้มีอาการดีขึ้น หรือเหมือนจะหายแล้วก็ตาม
โรคเชื้อราผิวหนัง เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ง่ายในประเทศร้อนชื้นอย่างไทย แต่เราสามารถดูแล รักษา และป้องกันได้ เพื่อไม่ให้เชื้อแพร่กระจายและกลับมาเป็นซ้ำ ดังนั้น หากเป็นแล้วควรรีบรักษาอย่างต่อเนื่องจนหายขาด และดูแลสุขภาพอนามัยให้ดี ไม่ใช้ของร่วมกับคนอื่น ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำได้
เอกสารอ้างอิง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเชื้อราผิวหนัง
Q: โรคเชื้อราผิวหนังสามารถแพร่ไปติดส่วนอื่นของร่างกาย หรือคนอื่นได้ง่ายแค่ไหน ?
A: สามารถแพร่กระจายได้ง่าย ทั้งจากส่วนหนึ่งไปยังส่วนอื่นของร่างกาย รวมถึงแพร่กระจายไปหาผู้อื่นผ่านการสัมผัสโดยตรง จึงไม่ควรใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
Q: หากรักษาเชื้อราที่ผิวหนังจนหายขาดแล้ว สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม ?
A: มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ หรือไม่ดูแลสุขอนามัยดีพอ
Q: หากติดเชื้อราที่ผิวหนังควรทำความสะอาดเสื้อผ้าอย่างไร ?
A: ควรซักด้วยน้ำร้อน หรือน้ำยาซักผ้าที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค และควรตากแดดให้แห้งสนิทเพื่อฆ่าเชื้อ
Q: อาการคันหรือผื่นเชื้อรา ต่างจากอาการคันหรือผื่นที่เกิดจากภูมิแพ้หรือโรคผิวหนังอื่นอย่างไร ?
A: ผื่นเชื้อราจะมีขอบนูนและชัดเจน มีอาการคันรุนแรง ส่วนผื่นภูมิแพ้มักจะเป็นตุ่มน้ำใส ๆ
Q: ใช้สมุนไพรธรรมชาติรักษาเชื้อราผิวหนังได้ไหม ?
A: ควรใช้ยาต้านเชื้อราของยาแผนปัจจุบัน เพราะยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ระบุว่าสมุนไพรสามารถรักษาได้