โรคกลากเกลื้อนเหมือนกันไหม รักษาอย่างไร ทำอย่างไรให้หายขาด !

“กลาก” “เกลื้อน” โรคผิวหนังที่หลายคนกำลังอยู่ในกลุ่มเสี่ยงโดยที่ไม่รู้ตัว และแม้ว่าจะเป็นโรคผิวหนังเหมือนกัน แต่ก็เกิดจากเชื้อราคนละกลุ่ม วันนี้จึงชวนทุกคนมาดูว่าโรคกลากเกลื้อนต่างกันอย่างไร สามารถแพร่กระจายได้อย่างไร รวมถึงสาเหตุของการเกิดโรคกลากเกลื้อน และผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากที่สุด พร้อมคำแนะนำว่าโรคกลากเกลื้อน มีวิธีการรักษาและวิธีการป้องกันอย่างไร

โรคกลากเกลื้อนสามารถติดต่อจากสัตว์เลี้ยงสู่คนได้

กลาก VS เกลื้อน ต่างกันอย่างไร ? 

ที่จริงแล้วโรคกลากเกลื้อน และโรคเชื้อราบนผิวหนัง ดูเผิน ๆ อาจจะมีความคล้ายคลึงกันอยู่มาก ทั้งสาเหตุที่เกิดจากเชื้อราเหมือนกัน เพียงแต่คนละกลุ่ม การรักษาก็ใช้ยาต้านเชื้อราเหมือนกัน แต่หากว่าต้องการรักษากลากเกลื้อนให้หายขาด ก็ต้องรักษาให้ถูกโรคและตรงจุด ซึ่งทั้งสองโรคมีความแตกต่างกัน ดังนี้ 

โรคกลากคืออะไร?

โรคกลาก เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรากลุ่มเดอร์มาโตไฟต์ ซึ่งเป็นเชื้อราก่อโรคที่ผิวหนังได้หลายโรค ทางการแพทย์เรียกโรคกลากว่า Tinea Corporis โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อราที่ผิวหนังชั้นบนสุด1 โดยปกติจะแสดงอาการเป็นผื่นแดงหรือสีเทา ผิวอาจเป็นสะเก็ด แห้ง บวม หรือคัน2

รอยโรคจากการติดเชื้อนี้มีลักษณะเป็นวงกลม1 วงโรคกลากมักจะขยายออกเมื่อโรคลุกลาม ในขณะที่ผิวหนังตรงกลางวงอาจหายและกลับเป็นสีผิวปกติ

โรคกลากสามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย เช่น ขาหนีบ (สังคัง) หรือเท้า (โรคน้ำกัดเท้า) กลากบนใบหน้าหรือหนังศีรษะ ซึ่งอาจทำให้ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ ได้

โรคเกลื้อนเกิดจากอะไร ?

โรคเกลื้อน ต่างจากโรคกลาก ตรงที่มีสาเหตุจากเชื้อรากลุ่มมาลาสซีเซีย เฟอร์เฟอร์ ซึ่งสามารถพบได้ตามรูขุมขนและผิวหนังตามธรรมชาติ หากมีความอับชื้นหรือมีเหงื่อออกมาก เชื้อราจะเจริญเติบโตมากขึ้น และส่งผลให้ผิวเกิดรอยโรคและอาการคันได้

ลักษณะของโรคเกลื้อน จะเป็นรอยด่างหรือรอยแต้มสีขาวหรือน้ำตาลอ่อน วงเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร เมื่อเกาจะกลายเป็นขุยเล็ก ๆ สีขาวฟูขึ้นมา

โรคเกลื้อนสามารถเกิดในบริเวณที่มีต่อมไขมันเยอะ เช่น เกลื้อนที่หลัง หน้า ต้นคอ และหน้าอก

ใครเสี่ยงเป็นโรคกลากเกลื้อนบ้าง 

ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกลากเกลื้อน โดยเฉพาะผู้ที่มีพฤติกรรมดังต่อไปนี้ 

  • ผู้ที่ผิวหนังเปียกชื้นเป็นเวลานาน เช่น
    • คนที่ต้องทำงานหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ผิวหนังต้องสัมผัสน้ำหรือความเปียกชื้นนาน ๆ
    • คนที่เดินย่ำบริเวณที่มีน้ำขังเป็นประจำ
  • ผู้ที่มีบาดแผลหรือรอยถลอกที่ผิวหนัง ซึ่งจะเป็นช่องทางให้เชื้อราเข้าสู่ผิวหนังชั้นบนได้ง่ายขึ้น
  • ผู้ที่สวมใส่เสื้อผ้าที่อับชื้น เช่น นักกีฬาที่ต้องใส่เสื้อผ้า รองเท้า หรือชุดชั้นในที่เปียกเหงื่อเป็นเวลานาน
  • ผู้ที่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้ติดเชื้อ  เช่น การใช้เสื้อผ้าหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับคนที่กำลังเป็นโรคกลากหรือเกลื้อน5

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกลากเกลื้อน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคกลากเกลื้อน

Q: โรคกลากเกลื้อนมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม ?

A: มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูง โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้น และหากคุณหยุดใช้ยาเร็วเกินไป รวมถึงยังมีปัจจัยเสี่ยงเดิม ๆ เช่น ผิวหนังอับชื้น เหงื่อออกมาก หรือมีการใช้ของร่วมกับผู้อื่นอีกครั้ง การป้องกันที่ดีคือการรักษาความสะอาดและดูแลผิวให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ 

Q: เกลื้อนที่หายแล้ว แต่ยังทิ้งรอยขาวไว้ จะทำอย่างไร ?

A: รอยด่างขาวที่เกิดจากโรคเกลื้อน (โดยเฉพาะในคนผิวคล้ำ) ไม่ใช่เชื้อราที่เหลืออยู่ แต่เป็นผลมาจากการที่เชื้อราไปรบกวนการสร้างเม็ดสีผิว เมื่อรักษาเชื้อราหายแล้ว รอยขาวจะค่อย ๆ กลับสู่สีผิวปกติเองเมื่อผิวสัมผัสแสงแดด (อย่างอ่อนโยน) ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน

Q: โรคกลากสามารถแพร่จากสัตว์เลี้ยงมาสู่คนได้อย่างไร ? 

A: เชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลาก (Dermatophytes) มักอาศัยอยู่ในดินหรือบนขนสัตว์ เมื่อคุณสัมผัสสัตว์เลี้ยงที่เป็นกลาก หรือสัมผัสพื้นที่ที่สัตว์เลี้ยงอาศัยอยู่ เชื้อราก็จะสามารถติดมาสู่ผิวหนังคนได้โดยตรง 

Q: วิธีรักษาเกลื้อนที่หลังต้องทำอย่างไร ? 

A: เนื่องจากบริเวณแผ่นหลังเป็นพื้นที่กว้างและมีต่อมไขมันมาก ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี การรักษาเกลื้อนที่หลังจึงมักใช้ 2 วิธีร่วมกัน คือ 

  1. ใช้ยาทาฆ่าเชื้อรา เช่น ครีมโคลไทรมาโซล (Clotrimazole) หรือไบโฟนาโซล (Bifonazole) ทาให้ทั่วบริเวณที่เป็นและขยายวงกว้างออกไปเล็กน้อย
  2. ใช้แชมพูหรือน้ำยาฆ่าเชื้อรา (Selenium Sulfide) โดยนำไปฟอกทิ้งไว้ 5-10 นาที ขณะอาบน้ำ แล้วล้างออก วิธีนี้ช่วยครอบคลุมพื้นที่กว้างได้ดี โดยเฉพาะบริเวณที่เอื้อมถึงยาก และควรใช้ควบคู่กันตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร 

Q: เป็นเกลื้อนที่หน้ารักษาอย่างไรถึงจะปลอดภัย ?

A: การรักษาเกลื้อนที่ใบหน้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากผิวหน้าบอบบางและอาจเกิดการระคายเคืองได้ง่าย จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง แพทย์มักจะแนะนำยาทาฆ่าเชื้อราชนิดอ่อนโยนที่มีความเข้มข้นเหมาะสม (หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด เพราะอาจกระตุ้นให้รอยโรคชัดเจนขึ้นและทำให้ผิวยิ่งแพ้ง่าย)

Q: วิธีรักษาเกลื้อนให้หายเร็วที่สุดทำอย่างไร ?

A: วิธีที่ดีที่สุดคือ รักษาความต่อเนื่องและวินัยในการใช้ยา ควบคู่ไปกับการควบคุมปัจจัยกระตุ้น ได้แก่ 

  1. ทายาให้ถูกวิธี โดยทาให้ทั่วรอยโรคและบริเวณขอบ
  2. ใช้แชมพูฆ่าเชื้อรา ใช้ฟอกผิวหนังบริเวณที่เป็นเกลื้อนทิ้งไว้ก่อนล้างออก
  3. หลีกเลี่ยงความชื้นและเหงื่อ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังออกกำลังกาย อาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งสนิทหลังมีเหงื่อออกมาก 

การปฏิบัติ 3 ข้อนี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้เชื้อราถูกกำจัดได้เร็วและลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ