โรคกลากเกลื้อนเหมือนกันไหม รักษาอย่างไร ทำอย่างไรให้หายขาด !
“กลาก” “เกลื้อน” โรคผิวหนังที่หลายคนกำลังอยู่ในกลุ่มเสี่ยงโดยที่ไม่รู้ตัว และแม้ว่าจะเป็นโรคผิวหนังเหมือนกัน แต่ก็เกิดจากเชื้อราคนละกลุ่ม วันนี้จึงชวนทุกคนมาดูว่าโรคกลากเกลื้อนต่างกันอย่างไร สามารถแพร่กระจายได้อย่างไร รวมถึงสาเหตุของการเกิดโรคกลากเกลื้อน และผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากที่สุด พร้อมคำแนะนำว่าโรคกลากเกลื้อน มีวิธีการรักษาและวิธีการป้องกันอย่างไร

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกลากเกลื้อน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคกลากเกลื้อน
Q: โรคกลากเกลื้อนมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม ?
A: มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูง โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนชื้น และหากคุณหยุดใช้ยาเร็วเกินไป รวมถึงยังมีปัจจัยเสี่ยงเดิม ๆ เช่น ผิวหนังอับชื้น เหงื่อออกมาก หรือมีการใช้ของร่วมกับผู้อื่นอีกครั้ง การป้องกันที่ดีคือการรักษาความสะอาดและดูแลผิวให้แห้งและสะอาดอยู่เสมอ
Q: เกลื้อนที่หายแล้ว แต่ยังทิ้งรอยขาวไว้ จะทำอย่างไร ?
A: รอยด่างขาวที่เกิดจากโรคเกลื้อน (โดยเฉพาะในคนผิวคล้ำ) ไม่ใช่เชื้อราที่เหลืออยู่ แต่เป็นผลมาจากการที่เชื้อราไปรบกวนการสร้างเม็ดสีผิว เมื่อรักษาเชื้อราหายแล้ว รอยขาวจะค่อย ๆ กลับสู่สีผิวปกติเองเมื่อผิวสัมผัสแสงแดด (อย่างอ่อนโยน) ซึ่งอาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
Q: โรคกลากสามารถแพร่จากสัตว์เลี้ยงมาสู่คนได้อย่างไร ?
A: เชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคกลาก (Dermatophytes) มักอาศัยอยู่ในดินหรือบนขนสัตว์ เมื่อคุณสัมผัสสัตว์เลี้ยงที่เป็นกลาก หรือสัมผัสพื้นที่ที่สัตว์เลี้ยงอาศัยอยู่ เชื้อราก็จะสามารถติดมาสู่ผิวหนังคนได้โดยตรง
Q: วิธีรักษาเกลื้อนที่หลังต้องทำอย่างไร ?
A: เนื่องจากบริเวณแผ่นหลังเป็นพื้นที่กว้างและมีต่อมไขมันมาก ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี การรักษาเกลื้อนที่หลังจึงมักใช้ 2 วิธีร่วมกัน คือ
- ใช้ยาทาฆ่าเชื้อรา เช่น ครีมโคลไทรมาโซล (Clotrimazole) หรือไบโฟนาโซล (Bifonazole) ทาให้ทั่วบริเวณที่เป็นและขยายวงกว้างออกไปเล็กน้อย
- ใช้แชมพูหรือน้ำยาฆ่าเชื้อรา (Selenium Sulfide) โดยนำไปฟอกทิ้งไว้ 5-10 นาที ขณะอาบน้ำ แล้วล้างออก วิธีนี้ช่วยครอบคลุมพื้นที่กว้างได้ดี โดยเฉพาะบริเวณที่เอื้อมถึงยาก และควรใช้ควบคู่กันตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
Q: เป็นเกลื้อนที่หน้ารักษาอย่างไรถึงจะปลอดภัย ?
A: การรักษาเกลื้อนที่ใบหน้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากผิวหน้าบอบบางและอาจเกิดการระคายเคืองได้ง่าย จึงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง แพทย์มักจะแนะนำยาทาฆ่าเชื้อราชนิดอ่อนโยนที่มีความเข้มข้นเหมาะสม (หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด เพราะอาจกระตุ้นให้รอยโรคชัดเจนขึ้นและทำให้ผิวยิ่งแพ้ง่าย)
Q: วิธีรักษาเกลื้อนให้หายเร็วที่สุดทำอย่างไร ?
A: วิธีที่ดีที่สุดคือ รักษาความต่อเนื่องและวินัยในการใช้ยา ควบคู่ไปกับการควบคุมปัจจัยกระตุ้น ได้แก่
- ทายาให้ถูกวิธี โดยทาให้ทั่วรอยโรคและบริเวณขอบ
- ใช้แชมพูฆ่าเชื้อรา ใช้ฟอกผิวหนังบริเวณที่เป็นเกลื้อนทิ้งไว้ก่อนล้างออก
- หลีกเลี่ยงความชื้นและเหงื่อ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังออกกำลังกาย อาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งสนิทหลังมีเหงื่อออกมาก
การปฏิบัติ 3 ข้อนี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้เชื้อราถูกกำจัดได้เร็วและลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ






