สรุปวิธีรักษาเชื้อราในช่องคลอดให้หายขาดด

เป็นเชื้อราในช่องคลอดรักษายังไง ? อธิบายครบรอบด้าน

เชื่อว่าผู้หญิงเกินกว่าครึ่งต้องเคยเจอกับปัญหาที่น่ารำคาญใจอย่าง "อาการคันน้องสาว" หรือ "ตกขาวเป็นก้อน" จนทำให้เสียความมั่นใจและรู้สึกไม่สบายตัว ซึ่งรู้หรือไม่ว่า อาการเหล่านี้คือสัญญาณเตือนของ "โรคเชื้อราในช่องคลอด" ที่พบได้บ่อย และไม่ใช่เรื่องน่าอายแต่อย่างใด

แม้โรคนี้จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่หากรักษาไม่ถูกวิธี หรือดูแลตัวเองไม่ถูกต้อง ก็อาจทำให้กลับมาเป็นซ้ำได้บ่อย ๆ บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริง อาการที่ต้องสังเกต และวิธีรักษาเชื้อราในช่องคลอดให้หายขาด เพื่อให้สาว ๆ กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

โรคเชื้อราในช่องคลอดคืออะไร ?

โรคเชื้อราในช่องคลอด (Vaginal Candidiasis) คือภาวะที่มีการติดเชื้อราบริเวณช่องคลอดและปากช่องคลอด ซึ่งสาเหตุหลักกว่า 90% เกิดจากเชื้อรากลุ่มยีสต์ที่มีชื่อว่า "แคนดิดา อัลบิแคนส์" (Candida albicans)

ความจริงแล้ว ในช่องคลอดของผู้หญิงเรามีเชื้อราชนิดนี้อาศัยอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ที่มีจำนวนน้อยและไม่ก่อโรค ก็เพราะร่างกายเรามี "แลคโตบาซิลัซ" (Lactobacilli) ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นแบคทีเรียเจ้าถิ่น ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดี คอยควบคุมสมดุลไว้ แต่เมื่อไรก็ตามที่ร่างกายเสียสมดุล แบคทีเรียเจ้าถิ่นลดจำนวนลง หรือสภาพแวดล้อมในช่องคลอดเปลี่ยนไป จะทำให้เชื้อราเจริญเติบโตแบ่งตัวเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกิดการอักเสบ ระคายเคือง และกลายเป็นโรคในที่สุด

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอด

หลายคนสงสัยว่า “ทำไมถึงยังเกิดเชื้อราในช่องคลอดทั้ง ๆ ที่รักษาความสะอาดจุดซ่อนเร้นดีแล้ว ?” คำตอบคือ สาเหตุของการเกิดเชื้อราในช่องคลอดนั้นซับซ้อนกว่าเรื่องความสะอาด โดยปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย มีดังนี้ 

1. การใช้ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)

นี่คือสาเหตุอันดับต้น ๆ เมื่อกินยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเพื่อรักษาโรคอื่น (เช่น เจ็บคอ, สิว, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ) ยาจะไปทำลายแบคทีเรียเจ้าถิ่นในช่องคลอดตายไปด้วย ทำให้เชื้อราฉวยโอกาสเติบโตขึ้นมาแทนที่

2. ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

  • ช่วงก่อนมีประจำเดือน : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในรอบเดือน ทำให้สภาพความเป็นกรด-ด่างในช่องคลอดเปลี่ยนไป เหมาะแก่การโตของเชื้อรา
  • การตั้งครรภ์ : คุณแม่ตั้งครรภ์มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ทำให้ผนังช่องคลอดสะสมแป้งมากขึ้น ซึ่งแป้งคืออาหารโปรดของเชื้อรา
  • การใช้ยาคุมกำเนิด : โดยเฉพาะชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง

3. พฤติกรรมและความอับชื้น

เชื้อราชอบที่อุ่น ชื้น และมืด ดังนั้นพฤติกรรมเหล่านี้จึงเป็นตัวกระตุ้นชั้นดี ที่ทำให้เกิดเชื้อราในช่องคลอด

  • ใส่กางเกงยีนส์รัดรูป หรือกางเกงในผ้าใยสังเคราะห์ที่ไม่ระบายอากาศ
  • ใส่ชุดว่ายน้ำหรือชุดออกกำลังกายที่เปียกชื้นนานเกินไป
  • การใช้แผ่นอนามัยทุกวันโดยไม่จำเป็น ทำให้เกิดความอับชื้นสะสม

4. ภาวะสุขภาพอื่น ๆ

  • ผู้ป่วยเบาหวาน : หากคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ปริมาณน้ำตาลในสารคัดหลั่งช่องคลอดจะสูงขึ้น กลายเป็นอาหารเลี้ยงเชื้อรา
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ : เช่น พักผ่อนน้อย เครียด หรือมีโรคประจำตัว

อาการแบบไหนคือสัญญาณของเชื้อราในช่องคลอด ?

อาการของเชื้อราในช่องคลอดค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หากมีอาการเหล่านี้ มีโอกาสสูงที่จะเป็นการติดเชื้อรา 

    • คันมาก : เป็นอาการเด่นที่สุด มักคันลึก ๆ ข้างในช่องคลอด หรือคันยิบ ๆ บริเวณปากช่องคลอด
    • ตกขาวผิดปกติ : ลักษณะข้น ขาวขุ่น จับตัวเป็นก้อน คล้ายแป้งเปียก หรือคราบโยเกิร์ต/นมข้น ที่สำคัญคือมักจะไม่มีกลิ่นเหม็น (ถ้ามีกลิ่นเหม็นคาวปลา อาจเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย ไม่ใช่เชื้อรา)
    • ระคายเคือง : รู้สึกแสบ แดง บริเวณอวัยวะเพศภายนอก และอาจมีอาการบวมแดงที่แคมของอวัยวะเพศ
    • แสบเวลาปัสสาวะ เพราะน้ำปัสสาวะโดนผิวที่อักเสบ
    • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
    • ผิวหนังบริเวณปากช่องคลอดบวมแดง หรือมีรอยแตกเล็กๆ

    ข้อควรระวัง : หากตกขาวเปลี่ยนสี เช่น มีสีเขียว สีเหลือง มีกลิ่นเหม็นรุนแรง หรือมีไข้ร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม

     เมื่อเป็นเชื้อราช่องคลอด ควรรักษาด้วยการปรึกษาแพทย์

    ทำความเข้าใจเรื่องโรคเชื้อราในช่องคลอด

    สำหรับผู้ที่มีอาการเชื้อราในช่องคลอดย่อมรู้สึกไม่มั่นใจ และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่วางใจได้เพราะว่าโรคเชื้อราในช่องคลอดมีวิธีรักษาให้หายขาด โดยคุณสามารถปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ เพื่อให้ช่วยเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ

    วิธีรักษาเชื้อราในช่องคลอดให้หายขาดด้วยยาสอดเชื้อราในช่องคลอด

    วิธีรักษาเชื้อราในช่องคลอดให้หายที่ต้นเหตุ

    “ตกขาวติดเชื้อรารักษายังไง ?” ถึงแม้จะเป็นโรคที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงส่วนใหญ่ แต่ข่าวดีคือโรคนี้รักษาได้ไม่ยาก เพียงแค่ต้องเข้าใจหลักการวิธีแก้เชื้อราในช่องคลอดที่ถูกต้อง นั่นคือ "ต้องกำจัดเชื้อราที่อยู่ภายในช่องคลอดให้หมด" ไม่ใช่แค่ทายาแก้คันภายนอกเพียงอย่างเดียว โดยปัจจุบันมีรูปแบบยาแก้ติดเชื้อราในช่องคลอดให้เลือกใช้รักษาตามความสะดวก ดังนี้

    1. ยาสอดช่องคลอด 

    เป็นวิธีรักษาเชื้อราในช่องคลอดที่มีประสิทธิภาพสูง ตัวยาจะออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อราโดยตรงที่จุดเกิดเหตุ ตัวยาสำคัญที่ช่วยรักษาเชื้อราที่ช่องคลอด คือ โคลไทรมาโซล ซึ่งมีหลายรูปแบบเช่น

    • แบบเม็ดเดียว (Single Dose) : ยาสอดโคลไทรมาโซลที่มีความเข้มข้นสูง เช่น 500 มก. สอดครั้งเดียวจบ สะดวกสำหรับคนที่ไม่ชอบสอดหลายวัน
    • แบบต่อเนื่อง (Multi-Day Dose) :โคลไทรมาโซล 6 วัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการระคายเคืองมาก หรือต้องการให้ยาค่อย ๆ ออกฤทธิ์

    2. ยารับประทาน

    เป็นยาฆ่าเชื้อช่องคลอดแบบเม็ด เช่น ตัวยา Fluconazole เหมาะสำหรับคนที่ไม่สะดวกใช้ยาสอด แต่ข้อควรระวังคือ ห้ามใช้ในคนท้อง และอาจมีผลข้างเคียงกับยาอื่น จึงควรปรึกษาเภสัชกรก่อนเสมอ

    3. ครีมทาภายนอก 

    ครีมทาภายนอก มีไว้เพื่อบรรเทาอาการคันและแสบแดง บริเวณผิวหนังภายนอกเท่านั้น ไม่สามารถรักษาเชื้อราที่อยู่ข้างในช่องคลอดได้ และตัวยาสำคัญที่ช่วยรักษาเชื้อราภายนอกจุดซ่อนเร้นได้ คือ โคลไทรมาโซล เป็นต้น

    เคล็ดลับการรักษาให้หายเร็ว

    ถ้าอยากให้เชื้อราในช่องคลอดหายเร็วแนะนำให้ใช้ "วิธีรักษาแบบควบคู่" คือใช้ ยาสอดโคลไทรมาโซล เพื่อฆ่าเชื้อต้นเหตุภายใน ร่วมกับครีมทาภายนอกโคลไทรมาโซล เพื่อลดอาการคันภายนอก วิธีนี้จะช่วยให้รู้สึกสบายตัวขึ้นเร็วและหายสนิท

    การป้องกันและดูแลตัวเอง ไม่ให้เชื้อรากลับมาเยือน

    นอกจากการทราบข้อมูลว่าเป็นเชื้อราในช่องคลอดรักษายังไงแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการป้องกัน โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพียงเล็กน้อย ก็ช่วยลดโอกาสการเป็นซ้ำได้อย่างมาก เช่น

    1. จุดซ่อนเร้นต้องการแค่ความสะอาดพื้นฐาน : ล้างด้วยน้ำเปล่า หรือสบู่อ่อน ๆ เฉพาะภายนอกก็เพียงพอแล้ว ห้ามสวนล้างช่องคลอดเด็ดขาด เพราะจะไปฆ่าแบคทีเรียดีที่คอยปกป้องเรา
    2. เช็ดให้แห้งเสมอ : หลังเข้าห้องน้ำ ควรเช็ดจาก "หน้าไปหลัง" เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากทวารหนักเข้าสู่ช่องคลอด และซับให้แห้งทุกครั้ง
    3. เลือกชุดชั้นในที่ใช่ : เลือกสวมกางเกงในผ้าฝ้ายที่ระบายอากาศได้ดี และหลีกเลี่ยงการใส่กางเกงรัดติ้วเป็นเวลานาน ๆ
    4. ซักและตากให้ดี : ชุดชั้นในควรตากแดดจัด ๆ เพื่อฆ่าเชื้อรา และหลีกเลี่ยงการตากในที่ร่มหรือห้องน้ำที่อับชื้น
    5. ลดน้ำตาล : สำหรับผู้ที่ชอบของหวาน การลดปริมาณน้ำตาลจะช่วยลดอาหารของเชื้อราในร่างกายได้
    Canesten female briefs icon

    หลังการอาบน้ำหรือว่ายน้ำ ควรทำความสะอาดบริเวณช่องคลอดของคุณอย่างทั่วถึงและเช็ดให้แห้ง

    Canesten perfume free symbol

    ในระหว่างที่มีอาการติดเชื้อราในช่องคลอดควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำหอม รวมถึงสารเคมีที่อาจก่อการระคายเคือง เช่น สบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม สบู่ทำฟอง หรือเจลอาบน้ำ ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม

    Canesten toilet paper icon

    หลังการเข้าห้องน้ำ คุณควรเช็ดทำความสะอาดช่องคลอดจากหน้าไปหลัง วิธีนี้จะช่วยป้องกันเชื้อโรคจากทวารหนักกระจายสู่ช่องคลอดของคุณ

    3 เรื่องจริงเกี่ยวกับการติดเชื้อราในช่องคลอด

    Canesten pie graph icon

    โรคติดเชื้อราในช่องคลอดอาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนในช่วงชีวิต โดยผู้หญิงร้อยละ 75 จะเคยเป็นโรคนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง

    Canesten yeast cells under microscope icon

    โดยปกติโรคเชื้อราในช่องคลอดเกิดจากสาเหตุการติดเชื้อราที่มีชื่อว่า แคนดิดา อัลบิแคนส์ ซึ่งเป็นเชื้อราที่มีอยู่ตามธรรมชาติภายในช่องคลอดของคุณ

    Canesten chemical free symbol

    คุณสามารถป้องกันโรคนี้ได้ โดยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของคุณแข็งแรง ด้วยการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง ลดความเครียด และดำเนินวิถีชีวิตให้มีสุขภาพดี

    เชื้อราในช่องคลอดรักษาได้ ไม่ต้องกังวล

    แม้ว่าเชื้อราในช่องคลอดจะสร้างความรำคาญใจและส่งผลต่อความมั่นใจ แต่หากเราเข้าใจสาเหตุของการตกขาวจากเชื้อราและรู้วิธีรักษาที่ถูกต้อง เช่น ตัวยาสำคัญที่ช่วยรักษาเชื้อราคือโคลไทรมาโซล เป็นต้นโรคนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หัวใจสำคัญคือ "การวินิจฉัยให้ถ่องแท้ และ "รักษาให้ครบโดส" ผู้ที่ประสบปัญหาเชื้อราในช่องคลอดไม่ควรหยุดยารักษาเองเมื่ออาการดีขึ้น เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ที่สำคัญที่สุดคือการดูแลสุขอนามัยและปรับพฤติกรรมเพื่อลดปัจจัยเสี่ยง เพียงเท่านี้จุดซ่อนเร้นก็จะกลับมาสุขภาพดี สบายตัว และไร้กังวล

    FAQ: คำถามพบบ่อยเกี่ยวกับเชื้อราในช่องคลอด

    Q: เป็นเชื้อราในช่องคลอด ซื้อยารักษามาใช้เองได้ไหม หรือต้องหาหมอ ? 

    A: หากเคยเป็นมาก่อนและจำอาการได้แม่นยำ เช่น คัน, ตกขาวเป็นก้อนไม่มีกลิ่น สามารถปรึกษาเภสัชกรเพื่อซื้อยาสอดหรือยาทามาใช้เองได้ ซึ่งตัวยาสำคัญที่ช่วยรักษาคือโคลไทรมาโซล แต่ถ้าหากเป็นครั้งแรก, ตั้งครรภ์, หรืออาการไม่ดีขึ้นใน 3 วัน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าไม่ใช่โรคอื่น

    Q: ตกขาวจากเชื้อรารักษายังไง ? 

    A: การตกขาวจากเชื้อรามีแนวทางรักษาโดยการพุ่งเป้าไปที่การกำจัดเชื้อราที่เป็นสาเหตุ และบรรเทาอาการคัน แสบ โดยวิธีหลักคือการใช้ยาต้านเชื้อรา ซึ่งตัวยาสำคัญที่ช่วยรักษาคือโคลไทรมาโซล มีทั้งแบบยาสอดช่องคลอด (ออกฤทธิ์ตรงจุด), ยาทาภายนอก (ลดอาการคัน) และยารับประทาน ควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมและคำแนะนำของเภสัชกร

    Q: กำลังเป็นประจำเดือน ใช้ยาสอดได้หรือไม่ ? 

    A: ไม่แนะนำ เพราะเลือดประจำเดือนจะชะล้างตัวยาออกมา ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ ควรรอให้ประจำเดือนหมดก่อน หรือหากมีอาการรุนแรงมากในช่วงมีประจำเดือน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อพิจารณาใช้ยารับประทานแทน

    Q: ถ้าอาการคันหายแล้ว หยุดใช้ยาได้เลยไหม ? 

    A: ไม่ได้ นี่คือสาเหตุที่ทำให้หลายคนกลับมาเป็นซ้ำ เชื้อราบางส่วนอาจยังซ่อนตัวอยู่แม้เราจะหายคันแล้ว ดังนั้น ต้องใช้ยาให้ครบตามจำนวนวันที่ระบุบนกล่อง เช่น ถ้าใช้แบบคอร์ส 6 วัน ก็ต้องสอดให้ครบ 6 วัน เพื่อถอนรากถอนโคนเชื้อให้หมด

    Q: ตั้งครรภ์อยู่ เป็นเชื้อรา รักษาอย่างไร อันตรายไหม ? 

    A: เชื้อราในคนท้องพบบ่อยมากจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง และไม่อันตรายต่อลูกในท้อง แต่การรักษาต้องระวัง ห้ามซื้อยากินเองเด็ดขาด เช่น ยา Fluconazole ห้ามใช้ในคนท้อง โดยแพทย์มักแนะนำให้ใช้ยาสอดกลุ่ม Clotrimazole (โคลไทรมาโซล) ซึ่งปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์ก่อนใช้ยาเสมอ

    Q: เป็นเชื้อราในช่องคลอด มีเพศสัมพันธ์ได้ไหม ? 

    A: ควรงดไปก่อนจนกว่าจะหายสนิท เพราะการเสียดสีจะทำให้ช่องคลอดที่อักเสบอยู่แล้วเจ็บปวดมากขึ้น และอาจเกิดการส่งต่อเชื้อไปมาระหว่างคู่รักได้ แม้ฝ่ายชายอาจไม่มีอาการ แต่ก็อาจเป็นพาหะนำเชื้อกลับมาสู่เราได้อีก 

    Q: เป็นเชื้อราในช่องคลอดกี่วันหาย ?

    A: ไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าเป็นเชื้อราในช่องคลอดกี่วันหาย แต่โดยทั่วไปหากได้รับยาฆ่าเชื้อราที่ตรงจุด อาการคันและระคายเคืองจะเริ่มดีขึ้นภายใน 1-3 วันแรก หลังใช้ยา แต่จะหายสนิทเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และรูปแบบยาที่เลือกใช้ เช่น ยาสอดแบบเม็ดเดียว, แบบ 3 วัน หรือ 6 วัน 

    สิ่งสำคัญคือ ห้ามหยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้น ต้องใช้ยาต่อเนื่องจนครบตามวันที่ระบุบนฉลาก เพื่อให้เชื้อราถูกกำจัดจนหมด แต่หากรักษาด้วยตัวเองผ่านไป 7 วันแล้วอาการยังไม่ทุเลา หรือยังไม่หายขาดภายใน 14 วัน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดอีกครั้ง

    L.TH.MKT.03.2021.1920