ตกขาวเกิดจากอะไร พร้อมวิธีรักษาตกขาวผิดปกติ-แนวทางดูแลตัวเอง

อาการตกขาวผิดปกติ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทุกช่วงวัย และมักเกิดจากความไม่สมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอดหรือการติดเชื้อ เช่น เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อทริโคโมแนส หลายคนอาจสงสัยว่าตกขาวเกิดจากอะไร มีวิธีแก้อย่างไรให้หายขาด ซึ่งความจริงแล้วการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริงของการติดเชื้อ

หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง มีกลิ่น หรือปวดแสบขณะปัสสาวะได้ ดังนั้น การรู้จักวิธีรักษาตกขาวอย่างถูกต้อง รวมถึงการดูแลสุขอนามัยของจุดซ่อนเร้น จะช่วยให้หายขาดและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้ในอนาคต

ผู้หญิงควรรู้ว่าตกขาวเกิดจากอะไร วิธีรักษาตกขาวผิดปกติ และแนวทางดูแลตัวเองเพื่อป้องกันตกขาว

การวินิจฉัยตกขาวผิดปกติ

เมื่อมีอาการตกขาวที่มีกลิ่น สี หรือปริมาณผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ โดยแพทย์จะซักประวัติสุขภาพ ประวัติการใช้ยา และตรวจลักษณะของตกขาว เช่น สี กลิ่น และระยะเวลาที่เริ่มมีอาการ

นอกจากนั้น ในบางกรณีแพทย์อาจตรวจภายในเพื่อตรวจอวัยวะสืบพันธุ์ และนำตัวอย่างตกขาวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ รวมถึงตรวจค่าความเป็นกรดด่าง (pH) ของช่องคลอด หากค่า pH มากกว่า 4.5 มักบ่งบอกถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยก่อนการตรวจ ควรงดการสวนล้างช่องคลอดหรือใช้สเปรย์พ่น เพราะอาจรบกวนผลการตรวจและทำให้วินิจฉัยได้ยากขึ้น

วิธีรักษาตกขาวตามสาเหตุ

การรักษาตกขาวต้องทำตามสาเหตุของการติดเชื้อ ซึ่งแต่ละชนิดใช้ยารักษาต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อยาใช้เอง

ตกขาวจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis)

อาการตกขาวจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis) มักมีตกขาวสีเทา มีกลิ่นคาวปลา และคันบริเวณจุดซ่อนเร้น หากไม่มีอาการรุนแรงอาจหายได้เอง หรือคุณอาจมองหาเจลสำหรับช่องคลอดอักเสบจากแบคทีเรีย เพื่อช่วยปรับสมดุลของช่องคลอดและลดโอกาสการติดเชื้อซ้ำได้

แต่หากมีอาการคันรุนแรงควรได้รับการรักษาด้วยยาแก้ตกขาวที่แพทย์สั่ง เช่น

  • ยาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) ขนาด 2,000 มิลลิกรัม รับประทานครั้งเดียว หรือ 400 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 5-7 วัน
  • หากแพ้ยา อาจใช้ยาคลินดามัยซิน (Clindamycin) แทน

นอกจากนี้ แพทย์อาจให้ยาทาเฉพาะที่ เช่น เจลเมโทรนิดาโซล (Metronidazole Gel) 0.75% หรือครีมคลินดามัยซิน (Clindamycin Cream) 2% 

ตกขาวจากเชื้อทริโคโมแนส (Trichomonas Vaginalis)

อาการตกขาวที่มักมีสีเขียวหรือเหลือง มีกลิ่นรุนแรงและคันมาก จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เช่นเดียวกับเชื้อแบคทีเรีย

  • รับประทานขนาด 2,000 มิลลิกรัม ครั้งเดียว หรือ 500 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง นาน 5-7 วัน
  • หากแพ้ยา อาจใช้ยาสอดช่องคลอดที่มีส่วนผสมของโคลไทรมาโซล (Clotrimazole) แทน

โดยผู้ที่เป็นโรคนี้ควรรักษาพร้อมคู่นอน และหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษาเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ 

ตกขาวจากเชื้อรา (Candida Albicans)

อาการตกขาวจากเชื้อชนิดนี้มักมีสีขาวข้นคล้ายนมบูด คัน แสบ และระคายเคือง ซึ่งหากถามว่าตกขาวที่มีอาการคันร่วมด้วยควรใช้ยาอะไรนั้น โดยทั่วไปแพทย์มักแนะนำให้ใช้ยาเหน็บช่องคลอดโคลไทรมาโซล (Clotrimazole Vaginal Tablets) ขนาด 100 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด นาน 6 คืน หรือขนาด 500 มิลลิกรัม สอดก่อนนอนเพียง 1 ครั้ง

บางรายอาจใช้ครีมทาในช่องคลอด เช่น ครีมโคลไทรมาโซล 1% หรือใช้ยารับประทานฟลูโคนาโซล (Fluconazole) เพื่อให้หายเร็วขึ้น

ข้อควรระวังในการใช้ยา

  • ใช้ยาให้ครบตามแพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว
  • ห้ามซื้อยาแก้ตกขาวมาใช้เอง เพราะแต่ละสาเหตุใช้ยาไม่เหมือนกัน
  • หากตั้งครรภ์ ควรแจ้งแพทย์ก่อนใช้ยาเพื่อป้องกันผลข้างเคียงต่อทารก

การดูแลตนเองเมื่อเป็นตกขาวที่ผิดปกติ

  • ใช้ยาตามที่แพทย์สั่งให้ครบและไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
  • รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเรื่องของความอับชื้น
  • งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหาย ถ้าจำเป็นควรให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยด้วยทุกครั้ง
  • ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ในขณะรับการรักษา เพราะอาจมีผลกับยาที่รักษาทำให้ไม่สบาย ปวดเมื่อยตัว หน้าแดง หรือใจสั่นได้
  • ไม่ควรรักษาด้วยตนเอง เพราะสาเหตุที่ทำให้ตกขาวผิดปกตินั้นมีได้หลากหลาย ซึ่งการซื้อยามารับประทานเองอาจทำให้ไม่หายเพราะใช้ยาไม่ตรงกับโรค อาจทำให้มีโรคอื่นแทรกซ้อนตามมา และอาจเป็นสาเหตุให้กลายเป็นการติดเชื้อเรื้อรังจากเชื้อดื้อยาได้ (การใช้ยาทุกชนิดควรอยู่ภายใต้คำแนะของแพทย์หรือเภสัชกร)
  • อาการตกขาวผิดปกติมักเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาทั้งผู้ป่วยและคู่นอนไปด้วยพร้อม ๆ กัน นอกจากนั้นอาการตกขาวผิดปกติยังอาจเกิดได้จากโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งการไปพบแพทย์ตั้งแต่แรกจะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และให้ผลในการรักษาที่ดีกว่าการพบโรคในระยะรุนแรงที่มีอาการมากแล้ว
  • ตกขาวผิดปกติที่เกิดจากการติดเชื้อ ถึงแม้จะได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว แต่ถ้ากลับไปติดเชื้ออีกก็จะมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก ส่วนในรายที่เป็นโรคมะเร็งปากมดลูกนั้น ผลการรักษามักจะขึ้นอยู่กับระยะของโรคมะเร็ง
  • ในรายที่มีโรคประจำตัวซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อก็ต้องรักษาหรือควบคุมโรคให้ดี เช่น โรคเบาหวาน

วิธีป้องกันตกขาว

เราสามารถป้องกันการเกิดตกขาวที่ผิดปกติได้ ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงและลดโอกาสเสี่ยงจากการติดเชื้อ ดังนี้

  • รักษาความสะอาดของช่องคลอดและอวัยวะเพศให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเลือกใช้สบู่อ่อนโยนต่อจุดซ่อนเร้น
  • ล้างช่องคลอดด้วยน้ำและสบู่อ่อน ๆ ที่ไม่ทำให้เกิดการอักเสบหรือระคายเคือง (หลังจากล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว การเช็ดทำความสะอาดอวัยวะเพศควรเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลัง ไม่เช็ดจากหลังมาหน้าเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากทวารหนักมาที่ช่องคลอด)
  • เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคในห้องน้ำ ควรทำความสะอาดห้องน้ำอยู่เสมอ และทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ก่อนการใช้งานเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • ไม่ปล่อยให้บริเวณช่องคลอดอับชื้นหรือชื้นแฉะ เพราะสภาพเหล่านี้จะทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี ดังนั้น เมื่อรู้สึกร้อนหรือเหนอะหนะบริเวณปากช่องคลอด ควรทำความสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง
  • หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด การใช้ยาดับกลิ่น หรือการใช้น้ำยาอนามัยล้างเฉพาะที่โดยไม่จำเป็น เพียงแต่ทำความสะอาดภายนอกด้วยน้ำสะอาดอย่างเดียวและซับให้แห้งก็เพียงพอแล้ว เพื่อช่วยรักษาความสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด
  • สวมใส่กางเกงชั้นในที่สะอาด ทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่หนา คับ อึดอัด หรือทำให้อับชื้นได้ง่าย (ส่วนในเด็กผู้หญิงที่ใส่กางเกงชั้นในใยสังเคราะห์ บางครั้งอาจไม่รู้จักรักษาความสะอาดและปล่อยให้อบหรืออับชื้น ก็อาจทำให้มีน้ำเมือกจากช่องคลอดออกมาเปื้อนกางเกงในได้ ซึ่งจะไม่มีกลิ่นและไม่คัน ให้รักษาความสะอาดด้วยการใช้น้ำสะอาดชะล้างและเปลี่ยนมาใช้กางเกงในผ้าฝ้ายแทน)
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยแผ่นบางติดต่อกันทุกวัน เพราะอาจจะทำให้เกิดความอับชื้นและเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้
  • หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน และเพื่อความปลอดภัยจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ควรให้ฝ่ายชายสวมถุงยางอนามัยด้วยทุกครั้ง
  • หากเคยมีอาการตกขาวผิดปกติจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ควรให้คู่นอนเข้ารับการรักษาการติดเชื้อดังกล่าวด้วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำภายหลังจากที่รักษาจนหายดีแล้ว
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยที่มีส่วนผสมของน้ำหอม เพื่อป้องกันอาการระคายเคือง
  • ควบคุมและรักษาโรคที่อาจเป็นสาเหตุ เช่น โรคเบาหวาน
  • ในผู้ที่เป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกิน ควรหาทางลดความอ้วนหรือควบคุมน้ำหนักตัวอย่างเหมาะสม
  • ปฏิบัติตามสุขบัญญัติเพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง เช่น รับประทานอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด, ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังการขับถ่าย, ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด, งดการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สารเสพติด, หลีกเลี่ยงการสำส่อนทางเพศ, ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ, ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี
  • หากพบว่ามีตกขาวผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาตกขาว รวมถึงรับคำแนะนำต่าง ๆ จากแพทย์และพยาบาล เพื่อสุขอนามัยที่ดี

การเข้าใจว่าตกขาวเกิดจากอะไร มีวิธีแก้ยังไง และปฏิบัติตามวิธีรักษาตกขาวที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณหายจากอาการไม่สบายได้เร็วขึ้น การรักษาที่ตรงจุดร่วมกับการดูแลสุขอนามัยจุดซ่อนเร้นอย่างสม่ำเสมอ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้ตกขาวกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง

เอกสารอ้างอิง

L.TH.MKT.03.2021.1920

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีรักษาตกขาว

Q: ตกขาวเกิดจากอะไร มีวิธีแก้แบบไหนบ้าง ?

A: ตกขาวอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา หรือทริโคโมแนส วิธีแก้คือการใช้ยาให้ตรงกับสาเหตุ เช่น ยาเหน็บ ยาทา หรือยารับประทานตามแพทย์สั่ง

Q: เป็นตกขาวกินอะไรหาย รักษาโดยไม่ใช้ยาได้ไหม ?

A: อาหารที่มีจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส เช่น โยเกิร์ต อาจช่วยปรับสมดุลช่องคลอดได้ แต่หากมีอาการรุนแรงควรพบแพทย์เพื่อรับยาแก้ตกขาวที่เหมาะสมกับสาเหตุและอาการ 

Q: เป็นตกขาวและมีอาการคันใช้ยาอะไรดีที่สุด ?

A: ควรใช้ยาที่แพทย์แนะนำ เช่น ยาเหน็บหรือครีมต้านเชื้อรา หากใช้แล้วไม่ดีขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อเปลี่ยนวิธีการรักษาตกขาว

Q: ใช้วิธีรักษาตกขาวด้วยสมุนไพรได้ไหม ?

A: สมุนไพรบางชนิดอาจช่วยลดอาการคันได้ แต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อสาเหตุได้หมด ดังนั้น จึงควรใช้ร่วมกับการรักษาทางการแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า

Q: อาการตกขาวแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์ ?

A: หากมีตกขาวที่มีกลิ่นแรง สีเปลี่ยน คัน แสบ หรือปวดขณะปัสสาวะ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับยาอย่างถูกต้อง